4) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มผสมผสานของกาเย (Gagne’s eclecticism)
1. ทิศนา แขมมณี (2553:73) กล่าวว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ของกาเย มี 8 ขั้น คือ
1.1 การเรียนรู้สัญญาณ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ ผู้เรียนไม่สามารถบังคับพฤติกรรมไม่ให้เกิดขึ้นได้ การเรียนรู้แบบนี้เกิดจากการที่คนเรานำเอาลักษณะการตอบสนองที่มีอยู่แล้วมาสัมพันธ์กับสิ่งเร้าใหม่ที่มีความใกล้ชิดกับสิ่งเร้าเดิม การเรียนรู้สัญญาณ เป็นลักษณะการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขของพาฟลออฟ
1.1 การเรียนรู้สัญญาณ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ ผู้เรียนไม่สามารถบังคับพฤติกรรมไม่ให้เกิดขึ้นได้ การเรียนรู้แบบนี้เกิดจากการที่คนเรานำเอาลักษณะการตอบสนองที่มีอยู่แล้วมาสัมพันธ์กับสิ่งเร้าใหม่ที่มีความใกล้ชิดกับสิ่งเร้าเดิม การเรียนรู้สัญญาณ เป็นลักษณะการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขของพาฟลออฟ
1.2 การเรียนรู้สิ่งเร้า-การตอบสนอง เป็นการเรียนรู้ต่อเนื่องจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง แตกต่างจากการเรียนรู้สัญญาณ เพราะผู้เรียนสามารถควบคุมพฤติกรรมเองได้ ผู้เรียนแสดงพฤติกรรม เนื่องจากได้รับการเสริมแรง การเรียนรู้แบบนี้เป็นการเรียนรู้ตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ และการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ผู้เรียนเป็นผู้กระทำเองมิใช่รอให้สิ่งเร้าภายนอกมากระทำ พฤติกรรมที่แสดงออกเกิดจากสิ่งเร้าภายในของผู้เรียนเอง
1.3 การเรียนรู้การเชื่อมโยงแบบต่อเนื่อง เป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองที่ต่อเนื่องกันตามลำดับ เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำ การเคลื่อนไหว
1.4 การเชื่อมโยงทางภาษา เป็นการเรียนรู้ในลักษณะคล้ายกับการเรียนรู้การเชื่อมโยงแบบต่อเนื่อง แต่เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษา การเรียนรู้แบบการรับสิ่งเร้า-การตอบสนอง เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้แบบต่อเนื่องและการเชื่อมโยงทางภาษา
1.5 การเรียนรู้ความแตกต่าง เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถมองเห็นความแตกต่างของสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะความแตกต่างตามลักษณะของวัตถุ
1.6 การเรียนรู้ความคิดรวบยอด เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถจัดกลุ่มสิ่งเร้าที่มีความเหมือนกันหรือแตกต่างกัน โดยสามารถระบุลักษณะที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันได้ พร้อมทั้งสามารถขยายความรู้ไปยังสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากที่เคยเห็นมาก่อนได้
1.7 การเรียนรู้กฎ เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการรวมหรือเชื่อมโยงความคิดรวบยอดตั้งแต่สองอย่างขึ้นไป และตั้งเป็น กฎเกณฑ์ขึ้น การที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้กฎเกณฑ์จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำการเรียนรู้นั้นไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆกันได้
1.8 การเรียนรู้การแก้ปัญหา เป็นการเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา โดยการนำกฎเกณฑ์ต่างๆมาใช้ การเรียนรู้แบบนี้เป็นกระบวนการที่เกิดภายในตัวผู้เรียน เป็นการใช้กฎเกณฑ์ในขั้นสูงเพื่อการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน และสามารถนำกฎเกณฑ์ในการแก้ปัญหานี้ไปใช้กับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
2. http://pirun.ku.ac.th/~g521465339/Data/Py2.htm ได้รวบรวมไว้ว่า ทฤษฎีของกาเย่มี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ สภาพการณ์การเรียนการสอน นักศึกษาสามารถจัดสภาพการณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้โดยเทียบได้กับเหตุการณ์ภายนอกที่มีผลต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในตัวมนุษย์ โดยลำดับตามกระบวนการเรียนรู้ภายใน รวม 9 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ทฤษฎีการเรียนรู้ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนได้แก่
1.1 ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง ๆ ของมนุษย์คือ
1.1.1 ทักษะทางปัญญา (Intellectual Skills) ประกอบด้วย ทักษะย่อย 4 ระดับ คือ
- การจำแนกแยกแยะ (Discriminaitons) หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะคุณสมบัติทางกายภาพของวัตถุต่าง ๆที่รับรู้เข้ามาว่าเหมือนหรือไม่เหมือน
- การสร้างความคิดรวบยอด (Concepts) หมายถึง ความสามารถในการจัดกลุ่มวัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ โดยระบุคุณสมบัติร่วมกันของวัตถุหรือสิ่งนั้น ๆ แบ่งเป็ฯ 2 ระดับย่อย ๆ คือ ความคิดรวบยอดระดับรูปธรรม (concrete Concerpts) และความคิดรวบยอดระดับนามธรรมที่กำหนดขึ้นในสังคมหรือวัฒนธรรมต่าง ๆ (Defined Concepts)
- การสร้างกฎ (Rules) หมายถึง ความสามารถในการนำความคิดรวบยอดต่าง ๆ มารวมเป็นกลุ่ม ตั้งเป็นกฎเกณฑ์ขึ้น เพื่อให้สามารถสรุปอ้างอิง และตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง
- การสร้างกระบวนการหรือกฎชั้นสูง (Procedures of Higher Order Rules) หมายถึง ความสามารถในการนำกฎหลาย ๆ ข้อที่สัมพันธ์กันมาประมวลเข้าด้วยกัน ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
1.1.2 กลวิธีการเรียนรู้ (Cognitive Strategies) หมายถึง กระบวนการที่มนุษย์ใช้ในการช่วยให้ตนได้รับข้อมูลและจัดกระทำกับข้อมูลจนเกิดการเรียนรู้ตามที่ตนต้องการ ประกอบด้วย
- กลวิธีเกี่ยวกับการใส่ใจ (Attending)
- กลวิธีเกี่ยวกับการทำความเข้าใจความคิดรวบยอด (Encoding)
- กลวิธีเกี่ยวกับการระลึกถึงสิ่งที่อยู่ในความทรงจำ (Retrieval)
- กลวิธีเกี่ยวกับการแก้ปัญหา (Problem Solving)
- กลวิธีเกี่ยวกับการคิด (Thinking)
1.1.3 ภาษา : คำพูด (Verbal Informaiton)
- คำพูดที่เป็นชื่อของสิ่งต่าง ๆ (Names or Labels)
- คำพูดที่เป็นข้อความ/ข้อเท็จจริง (Facts)
- คำพูดที่เรียบเรียงอย่างมีความหมาย (Meaningfully Organized Verbal Knowledge)
1.1.4 ทักษะการเคลื่อนไหว (Motor Skills)
1.1.5 เจตคติ (Attitudes)
1.1 กระบวนการเรียนรู้และจดจำของมนุษย์ มีรูปแบบดังนี้
- การจัดกระทำข้อมูลในสมอง
- กระบวนการควบคุมดำเนินการและความคาดหวัง หมายถึง วิธีการต่าง ๆ ที่มนุษย์จะเข้าสู่สิ่งเร้า เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และลงมือกระทำกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งล้วนแสดงถึงความหลากหลาย ความยืดหยุ่นและความริเริ่มสร้างสรรค์
1.2 ผลจากเหตุการณ์ภายนอกที่มีต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในตัวมนุษย์
2. ทฤษฎีการจัดการเรียนการสอน มีสาระสำคัญในทฤษฎี 3 ประการดังนี้
2.1 การพิจารณาการเรียนรู้ ควรพิจารณาในรูปของชุดของกระบวนการต่าง ๆ ภายในตัวบุคคล ซึ่งได้แปลงการเร้าจากสิ่งเร้าภายนอกให้เป็นข้อมูลแบบต่าง ๆ อันนำไปสู่การวางพื้นฐานให้เป็นความจำระยะยาวในที่สุด
2.2 ความสามารถในการแสดงออกของบุคคล ซึ่งหมายถึง ผลการเรียนรู้นั้นสามารถจัดหมวดหมู่ได้หลายวิธี ซึ่งประสิทธิภาพของการเรียนรู้อันนำไปสู่การแสดงออกแต่ละประเภทนี้สามารถประเมินได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน
2.3 การจัดสภาพการณ์ในการเรียนการสอน การเกิดทักษะทางปัญญาจะต้องอาศัยการวางแผนการจัดสภาพการณ์การเรียนการสอน ที่ต่างไปจากแผนการจัดสภาพการณ์การเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ภาษา: คำพูด หรือการเรียนรู้ทักษะการเคลื่อนไหว
1. การรับสิ่งเร้า คือ การดึงความสนใจ
2. การคาดหวัง คือ การแจ้งให้ผู้เรียนทราบถึงวัตถุประสงค์
3. การระลึกและดึงข้อมูลมาอยู่ในหน่วยความจำเพื่อการใช้งาน คือ การกระตุ้นให้เกิดการระลึกถึงการเรียนรู้ในอดีต
4. การเลือกรับรู้ คือ การนำเสนอสิ่งเร้า
5. การทำความเข้าใจความหมายของข้อมูล คือ การให้แนวการเรียนรู้
6. การตอนสนอง คือ การกระตุ้นให้มีการแสดงออกถึงความสามารถที่มีอยู่
7. การเสริมแรง คือ การให้ข้อมูลป้อนกลับ
8. การระบึกถึงสิ่งที่อยู่ในความทรงจำและการเสริมแรง คือ การประเมินผลการแสดงออก
9. การระลึกถึงสิ่งที่อยู่ในความทรงจำและการสรุปนัยเพื่อใช้ในโอกาสอื่น คือ การส่งเสริมความคงทนและการถ่ายทอดการเรียนรู้
• การจูงใจ ( Motivation Phase) การคาดหวังของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจในการเรียนรู้
• การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase) ผู้เรียนจะรับรู้สิ่งที่สอดคล้องกับความตั้งใจ
• การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ ( Acquisition Phase) เพื่อให้เกิดความจำระยะสั้นและระยะยาว
• ความสามารถในการจำ (Retention Phase)
• ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว (Recall Phase )
• การนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว (Generalization Phase)
• การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ ( Performance Phase)
• การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน ( Feedback Phase) ผู้เรียนได้รับทราบผลเร็วจะทำให้มีผลดี
องค์ประกอบที่สำคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ จากแนวคิดนักการศึกษา กาเย่ ( Gagne) คือ
• ผู้เรียน ( Learner) มีระบบสัมผัสและ ระบบประสาทในการรับรู้
• สิ่งเร้า ( Stimulus) คือ สถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
• การตอบสนอง (Response) คือ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้
สรุป ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มผสมผสานของกานเย คือ ความรู้สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องใช้ความคิดที่ลึกซึ้ง บางประเภทมีความซับซ้อนมาก จำเป็นต้องใช้ความสามารถในขั้นสูง หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้ คือ การจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบซึ่งเริ่มจากง่ายไปหายากมีทั้งหมด 8 ขั้น ดังนี้
1. การเรียนรู้สัญญาณ สร้างความสนใจ
2. การเรียนรู้สิ่งเร้า-การตอบสนอง แจ้งจุดประสงค์
3. การเรียนรู้การเชื่อมโยงแบบต่อเนื่อง กระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้เดิมที่จำเป็น
4. การเชื่อมโยงทางภาษา เสนอบทเรียนใหม่
5. การเรียนรู้ความแตกต่าง ให้แนวทางการเรียนรู้
6. การเรียนรู้ความคิดรวบยอด ให้ลงมือปฏิบัติ
7. การเรียนรู้กฎ ให้ข้อมูลป้อนกลับ
8. การเรียนรู้การแก้ปัญหา ประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดประสงค์
ที่มา:
ทิศนา แขมมณี.(2553).ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น