วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism)

2) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism)
1. ทิศนา แขมมณี (2553:68) กล่าวว่า การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน การนำเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์ หรือกรอบความคิด (Ad-vance Organizer) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระนั้นๆ จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาสาระนั้นอย่างมีความหมาย
2. พรรณี ชูทัย (2522:166) กล่าวว่า ในการสอนเรามุ่งหวังที่จะสอนให้คนมีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ เราสอนวิชาเนื้อหาแต่มิใช่เพื่อให้ท่องจำแต่สอนเพื่อจะช่วยให้ได้คิดอย่างมีเหตุผล ให้ได้มีส่วนร่วมในการแสวงหาความรู้ ความรู้เป็นกระบวนการมิได้เป็นผลิตผล การสอนแบบ Discovery เป็นการสอนที่เด็กได้รับการแนะนำจากครูอย่างมีขอบเขตจำกัดหรือแทบจะไม่มีเลย เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเด็กแก้ปัญหา คือ
        1. เน้นความแตกต่าง เพื่อกระตุ้นให้คนมีเรื่องที่จะอภิปราย เช่น เกี่ยวกับคนและสัตว์ คนสมัยปัจจุบันกับคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือผู้ใหญ่กับเด็ก
        2. กระตุ้นให้มีการเดาและหาเหตุผล หลังจากนั้นจึงอธิบายเพื่อให้ข้อมูลในสิ่งที่ถูก
        3. กระตุ้นให้มีส่วนร่วมในกิจกรรม โดยใช้เกมที่จะช่วยให้เด็กทุกคนมีส่วนร่วมมากที่สุด เช่น เกมต่อคำ แต่งประโยค ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กแสดงถึงความรู้ความเข้าใจในการใช้ภาษา
        4. กระตุ้นให้มีความถี่ถ้วนรอบคอบ โดยการกระตุ้นให้เด็กอ่านหนังสือประเภทนักสืบ ตลอดจนหัดให้สังเกตและวิเคราะห์กระบวนการแก้ปัญหาสิ่งที่ลึกลับต่างๆ

3. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2546:72)   กล่าวว่า ทฤษฎีกลุ่มเกสตัสท์ เน้นการเรียนรู้ที่ส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย ซึ่งจะเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ เกิดขึ้นจาก 2 ลักษณะ คือ
     1. การรับรู้ เป็นการสัมผัสด้วยอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 ส่วน คือ หู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง การรับรู้ทางสายตาจะประมาณร้อยละ 75 ของการรับรู้ทั้งหมด จึงจัดระเบียบการรับรู้โดยแบ่งเป็น 4 กฎ เรียกว่า กฎแห่งการจัดระเบียบ คือ
   ก.กฎแห่งความชัดเจน เพราะผู้เรียนมีประสบการณ์เดิมแตกต่างกัน เมื่อต้องการให้เกิดการเรียนรู้อย่างเดียวกัน ไม่ว่าจะมีประสบการณ์เมอย่างไร การเรียนรู้ที่ดีจึงต้องมีความชัดเจนและแน่นอน
  ข.กฎแห่งความคล้ายคลึง เป็นการวางหลักการรับรู้ในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน เพื่อจะได้รู้ว่าจัดเข้ากลุ่มเดียวกัน
  ค.กฎแห่งความใกล้ชิด เป็นการกล่าวถึงว่า ถ้าสิ่งใดหรือสถานการณ์ใดที่มีความใกล้ชิดกัน ผู้เรียนมักมีแนวโน้มที่จะรัยรู้สิ่งนั้นไว้เป็นแบบเดียวกันหรือเป็นหมวดหมู่เดียวกัน
  ง.กฎแห่งความต่อเนื่อง สิ่งเร้าที่มีทิศทางในแนวเดียวกันซึ่งผู้เรียนจะรับรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน
  จ.กฎแห่งความสมบูรณ์ สิ่งเร้าที่ขาดหายไปผู้เรียนสามารถรับรู้ให้เป็นภาพสมบรูณ์ได้ โดยอาศัยประสบการณ์เดิม
   2. การหยั่งเห็น การเกิดความคิดแวบขึ้นมาทันทีทันใดในขณะที่ประสบปัญหา โดยมองเห็นแนวทางในการปัญหาตั้งแต่เริ่มแรกเป็นขั้นตอนจนสามารถแก้ปัญหาได้ เป็นการมองเห็นสถานการณ์ในแนวทางใหม่ๆขึ้น โดยเกิดจากความเข้าใจและความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์ว่าได้ค้นพบแล้ว ผู้เรียนจะมองเห็นช่องทางการแก้ปัญหาขึ้นได้ในทันทีทันใด
สรุป  ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม เป็นการเน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด  ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง การเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิดจากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น  การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น  การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล  การสร้างความหมายและความสัมพันธ์ของข้อมูลและการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่างๆ  การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง

ที่มา:
 ทิศนา แขมมณี.(2553).ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พรรณี ชูทัย.(2522).จิตวิทยาการเรียนการสอน.
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์.(2546).จิตวิทยาการศึกษา.กรุงเทพฯ:บริษัทพิมพ์ดี จำกัด.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น